Thursday, September 20, 2012

ของขวัญที่หายไป


 ใกล้ถึงเทศกาลปีใหม่ครั้งใด ส่วนใหญ่เรามักจะวิ่งวุ่นและครุ่นคิดเตรียมจัดหาของขวัญเพื่อส่งความสุขให้กับคนอื่นๆ รอบตัว ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยเรามักจะมองข้ามของขวัญชิ้นสำคัญเพื่อตัวเองไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ปีใหม่นี้น่าจะเป็นอีกวาระดีๆ ที่เราจะให้ของขวัญหรือรางวัลชีวิตชิ้นพิเศษสุดกับตัวเอง นั่นคือ “การตรวจสุขภาพ”

              ชวนเชิญกันอย่างนี้ บางท่านอาจจะรู้สึกกังวลใจ เพราะทุกวันนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว ตรวจไปตรวจมา นอกจากเสียเงินแล้ว เดี๋ยวเจอนั่นเป็นนี่พาลไม่สวัสดีปีใหม่ไปเปล่าๆ แต่เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะส่องกระจกแล้วมองเห็นเลย แถมยังสะสมหรือรอออกอาการไปได้เรื่อยๆ อยากให้ทุกท่านลองคิดอีกมุมหนึ่งดู คือ รู้เร็ว เข้าใจ แก้ไขได้ทันท่วงที...

เริ่มตรวจกันเมื่อไร และ ถี่แค่ไหน?
              บางคนอาจจะแย้งว่าดูแลสุขภาพตัวเองดีอยู่แล้ว กินผักทุกมื้อ ออกกำลังกายบ่อยๆ แถมแข็งแรงฟิตปั๋ง ทำไมต้องไปตรวจประจำปีอีก ความเป็นจริงคุณหมอหลายท่านได้แนะนำว่า เราทุกคนควรเริ่มต้นตรวจกันตั้งแต่อายุ 35 ปี แต่หากท่านเป็นคนน้ำหนักเยอะ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจของญาติสายตรง ก็อาจจะเริ่มต้นตรวจในวัยที่น้อยกว่านี้ ส่วนเรื่องความถี่ขึ้นอยู่กับอาการหรือโรคที่ตรวจพบ หากมีโรคหรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคอาจต้องไปตรวจถี่หน่อย หากไม่เสี่ยงก็อาจจะตรวจทุกๆ 3-5 ปี

ควรตรวจอะไรบ้าง?
               ผู้หญิงอายุ 20-40 ปี ควรได้รับการตรวจเต้านมโดยแพทย์ทุก 3 ปี แต่หากจะทำเมมโมแกรม(การตรวจรังสีเต้านม) ควรจะมีอายุมากกว่า 40 ปีหรือมีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่
               สำหรับการตรวจภายในบ้านเรายังไม่มีมาตรฐานชัดเจนว่าผู้หญิงไทยควรเริ่มตรวจกันตั้งแต่อายุเท่าไร แต่ทางตะวันตกเขาเริ่มตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกกันตั้งแต่อายุ 18 ปี ส่วนสาวไทยหากเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง แต่หากอายุมากขึ้นและยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ อายุเลย 30 ปีก็ควรไปตรวจภายในปีละครั้ง และสำหรับหญิงวัยทอง แนะนำให้ตรวจมวลกระดูก เพื่อหาภาวะกระดูกพรุนและตรวจฮอร์โมนว่ายังสมบูรณ์ดีหรือไม่
               อย่าคิดว่าผู้หญิงจะเสี่ยงฝ่ายเดียว เพราะผู้ชายก็เสี่ยงต่อโรคเช่นกัน ผู้ชายที่มีอายุ 30-40 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจระดับค่าพีเอสเอ (PSA) ในเลือด เพื่อหาดัชนีที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงโอกาสในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (ปัจจุบันพบมากเป็นอันดับสองในเพศชายรองจากมะเร็งปอด) สำหรับหนุ่มอายุ 45-50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ สำหรับหนุ่มอายุ 55-60 ปีขึ้นไป ก็ควรให้ความสำคัญกับการตรวจหัวใจให้มากขึ้น นอกจากนั้นควรตรวจเรื่องความผิดปกติในการได้ยิน หรือหูตึงนั่นเอง
               การวัดความดันโลหิต ควรตรวจวัดทุกเพศ ตั้งแต่อายุ 18-35 ปี โดยควรตรวจเช็คทุก 2 ปี หากอายุมากกว่า 35 ปี ให้ตรวจเช็คทุกปี


เสื้อโปโลคู่ เสื้อคู่คอปก Together 


ตรวจที่ไหนดี?
              ส่วนใหญ่โรงพยาบาลต่างๆ จะมีแพ็คเกจตรวจสุขภาพครบวงจรอยู่แล้ว แต่ราคาอาจจะแตกต่างกันในโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลรัฐฯ ท่านสามารถเปรียบเทียบราคาโดยโทรศัพท์ไปสอบถาม หรือตรวจสอบทางเว็บไซต์ของแต่ละโรงพยาบาล และสามารถสอบถามได้ว่ามีคุณหมอท่านไหนที่ชำนาญเป็นพิเศษในด้านที่ท่านสนใจต้องการตรวจ

ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจอย่างไร?
              หากรู้ว่าต้องเจาะเลือด ควรงดอาหารไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หากต้องตรวจไขมันในเลือด ควรงดอาหาร 12 ชั่วโมง แต่หากไม่ได้ตรวจไขมันหรือน้ำตาลก็ไม่ต้องงดอาหาร โดยการงดอาหาร คือ งดทุกประเภท น้ำชา กาแฟ นม ก็ห้ามดื่ม อนุโลมเฉพาะน้ำเท่านั้น ที่สำคัญไม่ควรฟิตจัดออกกำลังกายก่อนวันเจาะเลือด เพราะจะมีผลต่อการตรวจเลือด สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนไม่สามารถตรวจปัสสาวะได้ และสำหรับผู้หญิงที่ตรวจภายใน หากเกิดความอายและกังวลใจ แนะนำให้ตรวจกับแพทย์ผู้หญิง และควรตรวจช่วงเช้าจะได้ไม่กังวลเรื่องกลิ่น

              ถ้าท่านรู้สึกมีความสุขและสดชื่นหัวใจในทุกๆ ครั้ง หรือทุกโอกาสที่ได้ส่งความสุขหรือมอบสิ่งดีๆ ให้กับบุคคลอันเป็นที่รักรอบข้างปีใหม่นี้อย่าลืมหันกลับมารักตัวเองสักครั้งบ้างนะคะ...

Saturday, September 1, 2012

ของขวัญปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่


  ในช่วงปีใหม่ที่กำลังใกล้มาถึง หลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ รณรงค์ให้คนมอบของขวัญเทศกาลปีใหม่ด้วยการบริจาคเลือด เพราะเป็นของขวัญที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองในปัจจุบัน

ที่สำคัญที่สุดคือเป็นสุดยอดแห่งของขวัญเพราะสามารถช่วยรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

การบริจาคเลือดเป็นของขวัญนั้นถือเป็นการให้ของขวัญแห่งชีวิต ที่อเมริกามีสโลแกนรณรงค์การบริจาคเลือดว่า Give Blood : The Gift of Life

เลือดที่เราบริจาค 1 ถุง จำนวน 350-450 มิลลิลิตร สามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ถึง 3 คน

เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจสำหรับผู้บริจาคเป็นอย่างยิ่งเพราะการสละเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงเพื่อบริจาคเลือดสามารถต่อชีวิตคนได้อีกหลายสิบปี


ยามที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเราอาจไม่นึกถึงว่าเลือดมีความสำคัญขนาดไหน แต่เมื่อไหร่ที่ตัวเราหรือคนในครอบครัวเจ็บป่วยและต้องรอรับเลือดบริจาค เราจะทราบว่าการบริจาคเลือดมีความสำคัญกับชีวิตมากมายเพียงใด

25 เปอร์เซ็นต์ของคนในโลก อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตต้องการเลือดจากการบริจาคเพื่อรักษาชีวิต จำนวน 1 ใน 10 ของคนที่เข้าโรงพยาบาลต้องการเลือด ซึ่งเลือดไม่สามารถผลิตได้ ต้องรอจากการบริจาคเท่านั้น

โดยปกติคนมีเลือดในร่างกายประมาณ 4,000-5,000 ซีซี การบริจาคแต่ละครั้ง จะบริจาคเพียง 350 - 450 ซีซี หรือประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมดในร่างกาย ช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดโลหิตใหม่ๆ ออกมาชดเชยให้มีระดับเท่าเดิม ภายใน 7-14 วัน

สำหรับผู้มีสุขภาพสมบูรณ์อายุระหว่าง 17-60 ปี สามารถบริจาคโลหิตได้ทุกๆ 3 เดือน



ลีคิ ซึง (Lee Ki Sueng) ศิลปินหนุ่มชาวเกาหลีใต้ออกแบบถุงบริจาคเลือดไว้น่ารัก เป็นรูปถุงเท้าที่แขวนไว้รอของขวัญวันคริสต์มาสจากซานตาคลอส โดยได้นำถุงบริจาคเลือดทรงถุงเท้านี้ออกแสดงในนิทรรศการงานศิลปะ Helsinki Design Week ที่ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ตามธรรมเนียม ในคืนวันคริสต์มาส อีฟ หรือวันที่ 24 ธันวาคม เด็กๆ จะนำถุงเท้าที่มีชื่อตัวเองติดไว้ไปห้อยหน้าเตาผิงเพราะเชื่อว่าซานตาคลอสจะแอบนำของขวัญมาหย่อนใส่ถุงเท้า


ถุงบริจาคเลือดรูปทรงถุงเท้าของ ลี คิ ซึง ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะสื่อความหมายถึงการให้เลือดในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ทางผู้จัดงาน Helsinki Design Week ได้เขียนข้อความรณรงค์การบริจาคเลือดว่า เมื่อเรานำของขวัญใส่ในถุงเท้าให้คนอื่น สักวันของขวัญก็จะกลับมาหาเรา

คริสต์มาสมักจะเป็นช่วงเวลาที่คนมักมองว่าเป็นช่วงเวลาของคนมีเงิน ความร่ำรวยและความมีสุขภาพดี ทำให้ลืมนึกถึงคนที่ไม่สมบูรณ์ คนพิการ คนที่มีปัญหาสุขภาพ และคนยากไร้ การบริจาคเลือดจึงนับเป็นการแบ่งปันความสุข ช่วยเหลือกัน สามารถรักษาชีวิตผู้อื่น ถือเป็นที่สุดของการให้

ช่วงนี้กระแสภาพยนตร์แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค 4 เบรกกิ้ง ดอว์น (Breaking Dawn) กำลังมาแรง ทำรายได้ทั่วโลกเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ หรือ 15,500 ล้านบาท

สถานที่รับบริจาคโลหิตหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกามีการโปรโมตการบริจาคเลือดให้เข้ากับกระแสแวมไพร์ดูดเลือดด้วยการให้ตั๋วภาพยนตร์ชมแวมไพร์ ทไวไลท์ ฟรี แก่ผู้บริจาคโลหิต

การบริจาคเลือดจึงเป็นของขวัญปีใหม่ เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ สร้างความอิ่มเอมใจแก่ผู้ให้ และมอบชีวิตใหม่ให้แก่ผู้รับ